เป็นประเด็นถกเถียงกันในครอบครัวเลยตัดสินใจหาข้อมูลในเวปและแล้วก็เจอ
โอ้โอ จะเป็นเช่นไรถ้ายังตัดใจที่จะเลิกใช้ยังไม่ได้เพราะความรวดเร็ว หรือความมักง่ายก็ไม่ทราบ
แต่จะใช้ให้น้อยลงหรือเอะจะเลิกใช้มันไปเลยดีหนอ
แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้โดนเสียงฝ่ายค้านสองต่อหนึ่งเสียงแล้ว สรุปแพ้ค่ะ
คงต้องเลิกแต่ยังเสียดายไม่หาย ความรวดเร็วและความมักง่ายหนอ
ตัวอย่างการทดลองโดยการเปรียบเทียบการอุ่นน้ำจากไมโครเวฟ และการอุ่นน้ำจากกาน้ำทั่วไป
เกิดอะไรขึ้น เก้าวันเท่านั้นต้นไม้ที่โดนรดด้วยน้ำที่อุ่นไมโครเวฟแห้งเหี่ยวตาย
โอ้ย แล้วเราละเต็มๆ เลยสะสมไปวันละนิดๆ
เค้า ว่ากันว่าอันตรายนี้สะสมรวดเร็วพอๆ กับยาพิษ เหมือนตายผ่อนส่ง
มันจะทำให้การย่อยเราไม่ได้ การดูดซึมอาหารเราไม่ดีด้วย
เท่ากับกินของเสียและมีของเสียคงอยู่ในร่างกายถาวรเหมือนกินยาพิษ
อิเลคตรอนและโปรตรอนที่อยู่ในอาหารที่ถูกปรุงด้วยไมโครเวฟมันถูกเปลี่ยนรูป
ไปทำให้อาหารคือสารพิษ ผลคือ ถ่ายไม่คล่อง เป็นมะเร็งเต้านม ลำคอลำไส้
และอวัยวะภายในการสืบพันธุ์
ผลจากอาหารไมโครเวฟ ทำให้ผู้ชายเป็นหมัน แล้วมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ
ส่วนผู้หญิงจะเป็นมะเร็งที่มดลูก ลูกออกมามักไม่สมบูรณ์ ตอนนี้ยังไม่พบข่าวการแพทย์ในไทย
ผลทางร่างกาย หงุดหงิด สมองเสื่อมไว เมตาบอริซึมผิดปกติ ไมเกนเป็นง่าย บนฉลากขวดนมสำหรับเลี้ยงทารก ก็มีการระบุอย่างชัดเจนว่าห้ามใช้เตาไมโครเวฟต้มน้ำให้เดือด
เนื่องจากคลื่น ไมโครเวฟจะไปทำลายสารอาหารที่มีประโยชน์ทั้งหมด
ผลร้ายที่เกิดเนื่องจากไมโครเวฟนี้ มีรายงานมากมายที่ทำในประเทศรัสเซีย เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์แต่มีน้อยมากในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากการวิจัยในสหรัฐส่วนใหญ่
จะต้องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางการค้า มิฉะนั้นจะไม่ค่อยมีคนทำตาม
ในรายงานในรัสเซีย เยอรมนี และสวิส พบว่าคลื่นไมโครเวฟ จะทำให้คลื่นสมอง ลดลง สมองเสื่อม
ทำให้คลื่นสมองมีความยาวคลื่นสั้นลง ในไมโครเวฟนอกจากจะเป็นสารก่อมะเร็งแล้ว
ยังเป็นสารตกค้างที่ร่างกายขจัดไม่ได้ คลื่นในระยะยาวจะทำให้ฮอร์โมนเพศลดลง
และเปลี่ยนแปลงทำลายเกลือแร่ต่างๆ ในผัก เปลี่ยนเป็นอนุมูลอิสระที่เป็นโทษต่อร่างกาย
ยังมีคลื่นอื่นๆ อีกหลายตัวในไมโครเวฟ ที่ล้วนทำให้สารบำรุงในอาหารเปลี่ยนไป
และแปรสภาพเป็นสารก่อมะเร็ง…
ข้อมูลจากหนังสือ การก่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บและการป้องกัน
เขียนโดย ดร. หงซานเปิ่น (ศาสตราจารย์ด้านโภชนาการ มหาวิทยาลัยสิงคโปร์)
ดร. ฮานส์ อุลริช เฮอร์เทล (Hans Ulrich Hertel) นักวิทยาศาสตร์ที่เคยทำงานของมหาวิทยาลัยโลวาน
ศึกษาผลกระทบด้านโภชนาการของอาหารไมโครเวฟที่มีต่อเลือดและร่างกายของ มนุษย์
โดยให้อาสาสมัคร 8 คนกินนมและผักที่เตรียมวิธีต่างกัน
คือ นมสด , นมชนิดเดียวกันแต่ต้มด้วยวิธีดังเดิม,นมพาสเจอไรซ์,นมสดที่ผ่านการต้มด้วยไมโครเวฟ,
ผักสดจากฟาร์มอินทรีย์, ผักชนิดเดียวกันแต่ต้มด้วยวิธีดังเดิม,
ผักชนิดเดียวกันแต่แช่แข็งและละลายในไมโครเวฟ และผักชนิดเดียวกันแต่หุงต้มในไมโครเวฟ
มีการเก็บตัวอย่างเลือดก่อนกินขณะท้องว่าง และหลังกิน
ผลการทดลองปรากฏว่า พบการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในเลือด
ของผู้กินอาหารที่ผ่านการหุงต้มด้วยไมโครเวฟ เช่น เฮโมโกลบินลดลง
โคเลสเทอเลลเทอรอลชนิดดีลดลง เซลล์เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น
ซึ่งการที่เซลล์เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น ในเชิงโลหิตวิทยาถือเป็นสัญญาณอันตราย
กล่าวคือมีความผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกาย ร่างกายจึงต้องผลิตเม็ดเลือดขาวขึ้นมา
เพื่อจัดการกับความผิดปกติเหล่านั้น
ราวกับทิ้งระเบิดลูกใหญ่ลงกลางวง อุตสาหกรรมเตาไมโครเวฟ ภายหลังตีพิมพ์ผลงานไม่นาน
สมาคมผู้ค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าใน ครัวเรือนและอุตสาหกรรมแห่งสวิตเซอร์แลนด์ที่รู้จักในชื่อ FEA
ก็อาศัยอำนาจศาลสั่งให้ ดร. เฮอร์เทล ยุติการเผยแพร่ข้อมูล
ต่อมาในปี 2536 ศาลสวิตเซอร์แลนด์ได้พิพากษาว่า ดร. เฮอร์เทลทำลายการค้า
พร้อมสั่งปรับและห้ามไม่ให้ตี พิมพ์ผลการวิจัยอีกต่อไป
ทว่าในอีก 5 ปีต่อมา ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปที่ออสเตรเรียได้พิพากษาว่า
การสั่งห้ามไม่ให้ ดร. เฮอร์เทลพูดถึงอันตรายของเตาไมโครเวฟที่มีต่อสุขภาพของมนุษย์
เป็นการระเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก
ทั้งนี้ได้สั่งศาลสวิตเซอร์แลนด์ จ่ายค่าชดเชยให้ ดร.เฮอร์เทลด้ว
(ที่มาจากเวป rmutphysics โดยคุณ ภัสน์วจี ศรีสุวรรณ์)
ข้อมูลเยอะไปหน่อยนะค่ะ ก็แค่อยากแบ่งปันเนื้อหาสาระให้ทุกคนได้อ่านและศึกษากัน
กลัวไหมงะ ถ้าไม่กลัวก็จงใช้กันต่อไปนะ ...
จะทำไงได้ละก็ในปัจจุบันชีวิตคนเราต้องการความรวดเร็ว รีบด่วน มันก็ยากที่จะเลี่ยง
แต่ถ้าไม่รีบร้อนอะไรก็ใช้วิธีอุ่นอาหารแบบที่บรรพบุรุษเราทำดีกว่านะค่ะ
(ไม่ต้องถึงขั้นก่อฝืนก่อไฟก็ได้นะค่ะ)
